วันจันทร์ที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2559

นี่หรือคือ "ความยุติธรรม"!!!

จริงอย่างที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ อคติบดบังปัญญา... คนมีอคติย่อมมองไม่เห็นความจริง ทำให้วินิจฉัยผิดพลาด ขาดความเป็นธรรม เมื่อเกิดขึ้นกับผู้ที่มีหน้าที่รักษาความยุติธรรม การทำหน้าที่ของเขาจึงย่อมบกพร่องไปอย่างน่าเสียดาย...

กรณีการตัดสินใจของทีมงาน DSI ต่อเรื่องของเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย บ่งชี้ถึง “อคติ” อย่างชัดเจน ซึ่งเป็นผลของการขาดคุณธรรมหลายประการที่ “ผู้รักษาความยุติธรรม” จะพึงมี

ประการแรกคือ ความเคารพ หมายถึงการตระหนักในคุณความดีของใครๆ ตามที่มีอยู่จริง  เมื่อขาดคุณธรรมข้อนี้ จึงทำให้ตัดสินคนผิดพลาด  เกิดการจับผิด มองคนดีว่าเป็นคนเลว มองบัณฑิตว่าเป็นพาล มองผู้มีศีลว่าไร้ศีล และมองถ้อยคำที่เป็นจริงว่าโกหก เข้าทำนอง “เอาจิตใจคนพาลมาวัดจิตใจของวิญญูชน”



ประการที่สองคือ ขาดเมตตาธรรม ซึ่งเป็นคุณธรรมสำคัญที่ผู้รักษาความยุติธรรมจะพึงมี เพราะหน้าที่ในการรักษาความยุติธรรมนั้นเกิดขึ้นเพื่อรักษาความอยู่เป็นสุขของประชาชน เมื่อผู้มีหน้าที่ในกระบวนการยุติธรรมขาดคุณธรรมข้อนี้แล้ว จึงแทนที่จะรักษาความผาสุกของประชาชนก็กลับกลายเป็นกลั่นแกล้งรังแกประชาชนไปเสีย สิ่งที่ตามมาจึงทำให้ เกิดการ “ขาดมนุษยธรรม” กลายเป็นทีมงานโหดร้าย คอยย่ำยีทำลายผู้บริสุทธิ์



ใครที่ไม่เคยแก่ ไม่เคยเจ็บป่วย ไม่เคยมีอาการขนาดที่หลวงพ่อเป็น อาจยากที่จะนึกออกว่ามันเป็นอย่างไร แต่อย่างน้อยหากมีสติปัญญาและมีมนุษยธรรมสักนิด ย่อมจะพิจารณาได้บ้างว่า ผู้เฒ่าที่อายุ 72 ปีแล้วนั้น ไม่แข็งแรงเหมือนคนหนุ่มสาว ยิ่งเป็นผู้ที่มีโรคประจำตัวเรื้อรัง ไม่เคยหยุดพักผ่อน ทำงานเพื่อสาธารณชนทั้งกลางวันและกลางคืนอย่างที่หลวงพ่อวัดพระธรรมกายทำ ยิ่งไม่ใช่เรื่องที่จะหายได้ง่ายๆ นอกเหนือจากอาการเรื้อรังที่เป็นอยู่แล้ว อาการลมตีขึ้นศีรษะ อาการวิงเวียน บ้านหมุน ทรงตัวไม่ได้ ยังเป็นอีกอาการหนึ่งที่เกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ และฉับพลัน ... ใครไม่เคยเป็นอาจไม่รู้ ใครเคยเป็นจะรู้ดีว่ามันทรมานขนาดไหน และมันเกิดขึ้นเมื่อไรก็ได้...

แต่ถึงจะเป็นคนที่ไม่เคยมีประสบการณ์เจ็บป่วยอย่างนี้ก็เถอะ ถ้าคิดสักนิดก็จะตัดสินได้ว่า พระท่านย่อมไม่โกหก ในชีวิตของท่านกล้าหาญที่จะทำสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่มหาชนมากมาย แม้มันจะแตกต่างจากสิ่งที่คนอื่นคุ้นเคย แต่ตรงกับคำสอนของพระพุทธองค์ แล้วท่านจะมากลัวอะไรกับเรื่องเล็กน้อยแค่ DSI ... และถ้ายังสงสัย ก็หาข้อมูลเพิ่มเติมสักหน่อยก็จะทราบว่า ท่านไม่ได้ออกมาสอนเป็นเวลาสองวันแล้ว ตั้งแต่ 23 เม.ย.59 เป็นต้นมา ... หากยังไม่มั่นใจอีกก็สามารถที่จะส่งแพทย์ไปตรวจได้ ว่าท่านอาการป่วยท่านเป็นอย่างไร แค่ไหน จริงหรือเปล่าที่ไม่สามารถมาได้ แต่กลับไม่ทำ และยังตัดสินในทำนองที่ว่าท่านให้การเป็นเท็จ ซึ่งเป็นการตัดสินไปเองโดยขาดความเป็นธรรม และเป็นการหมิ่นประมาทท่านซึ่งเป็นพระมหาเถระเป็นอย่างมาก

ความจริง ทีมงาน DSI ก็เคยเห็นอาการที่หลวงพ่อเป็นอยู่อยู่แล้วและย่อมทราบดีว่าท่านไม่สามารถที่จะมารับฟังข้อกล่าวหาได้ด้วยตนเอง ... แต่ก็น่าสังเกตว่า ทำไมจึงตัดสินออกมาเช่นนี้ มีอะไรอยู่เบื้องหลังหรือไม่??? 



ขอความกรุณาท่านผู้ใหญ่ใน DSI ได้โปรดพิจารณาตนเองด้วยค่ะ 



มีเพียงคนที่รู้จักให้เกียรติผู้อื่นเท่านั้น จึงจะนับว่าเป็นคนมีเกียรติ

มีเพียงคนที่มี “มนุษยธรรม” ในใจเท่านั้น 
จึงควรค่าที่จะเรียกตนเองว่าเป็น "มนุษย์" อย่างสมภาคภูมิ

รักษ์ธรรม
ภาพขาปัจจุบันของหลวงพ่อที่เป็นเป็นแผลเรื้อรังเพราะโรคเบาหวาน




ขาซ้ายมีลักษณะเข้ม คล้ำ และเป็นแผลเรื้อรัง


3 ความคิดเห็น:

  1. ดีเอสไอ ทำไมทำแบบนี้ จะอยู่สร้างบารมีกับหลวงพ่อแม้ต้องเจอความอยุติธรรมจากดีเอสไอก็ตามค่ะ

    ตอบลบ
  2. กราบแทบเท้าถวายกำลังใจพระพ่อผู้มีแต่ความเมตตาต่อพวกเราชาวโลกทุกคน ลูกจะขอสู้เคียงข้างหลวงพ่อด้วยชีวิตค่ะ กราบนมัสการหลวงพ่อด้วยความเคารพ สาธุค่ะ

    ตอบลบ
  3. ***ป่วยเสียขนาดนี้ ยังมีความอดทนมีเมตตาเพียรที่จะสอนลูกๆให้เข้าถึงธรรมด้วยใจใสเบิกบากในการ ทำทาน รักษาศีล และเจริญภาวนา ยังประโยชน์ต่อมวลมนุษยชาติ
    ท่านคือนักสู้ผู้ยิ่งใหญ่..
    กราบถวายกำลังให้แด่พระพ่อ
    ผู้บริสุทธิ์บริบูรณ์ ที่ประเสริฐ
    ควาค่าต่อการกราบไหว้เจ้าค่ะ

    ตอบลบ